วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2562

[แปลเพลง] The 1975 - Paris



Transbymatt – ปารีสในที่นี้อาจจะหมายถึงสถานที่นัดสังสรรค์และซื้อยาเสพติดค่ะ





- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -





She said 'hello', she was letting me know
เธอพูดว่า 'หวัดดี' เพื่อให้ผมรู้สึกตัว
We share friends in Soho
เราเป็นเพื่อนกันสมัยยังอยู่ที่ Soho
( Soho เป็นสวรรค์ของผู้เสพโคเคน ฝ่ายหญิงเริ่มทำความรู้จักกับแมตตี้อีกครั้ง
  และนี่คือการเริ่มต้นความสัมพันธ์ของพวกเขา ซึ่งผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นตัวปัญหา
  สำหรับแมตตี้ในอนาคตได้ ) 
She's a pain in the nose
เธอมันน่ารำคาญนักนะ
And I'm a pain in women's clothes
แต่ว่าไม่ได้เพราะผมก็แสบใช่ย่อยเหมือนกัน
"And you're a walking overdose in a great coat"
"คุณใส่ชุดสวยดีนะแต่ดูเมาไปหน่อย"
( pain in the nose เป็นสำนวนที่มีความหมายเดียวกันกับสำนวน
 “pain in the ass - สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกหงุดหงิดหรือรำคาญใจ” 
  แมตตี้กำลังจะสื่อให้พวกเราเห็นว่าผู้หญิงขี้ยาคนนี้ทำตัวน่ารำคาญขนาดไหน
  I'm a pain in women's clothes ไลน์นี้แมตตี้บอกกับพวกเราว่าเขาเองก็ไม่ต่าง
  จากผู้หญิงคนนั้นสักเท่าไหร่ ซึ่งผู้หญิงตรงหน้าเขาดูสวยมากในชุดหรูหราแต่
  การเสพยาของเธอทำให้เธอดูราคาถูก(ดูเป็นเคอรี่)ในสายตาของเขา ) 
And so she wrote a plan for it on the back of a fag packet
แล้วเธอก็เริ่มเขียนแผนที่ลงบนด้านหลังของซองบุหรี่
( เธอเขียนเส้นทางของสถานที่แห่งหนึ่งเอาไว้ให้แมตตี้
  ซึ่งเขาได้ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า "มันเป็นสถานที่หนึ่งในปารีส
  ที่เธอได้เขียนเอาไว้ให้ผมที่ด้านหลังของซองบุหรี่"
  สถานที่นี้น่าจะเป็นแหล่งสำหรับซื้อขายโคเคนค่ะ ) 
She had to leave because she couldn't hack it
เธอต้องรีบไปเพราะเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว
Not enough noise and too much racket
เสียงรอบข้างแม่งดังจนน่ารำคาญไปหมด
( อันที่จริงแล้วคำว่า too much racket คือการที่คุณส่งเสียงหรือทำเสียงดังจนน่ารำคาญ
  แต่แมตตี้ใช้คำว่า Racket แทนการใช้โคเคนค่ะ เพราะเธอกดความรู้สึกในการอยากเสพโคเคนไม่ได้
  เธอจึงต้องรีบไปยังสถานที่แห่งนั้น*ที่เขียนแผนที่ให้เขา* อีกนัยหนึ่งที่แมตตี้ต้องการจะสื่อคือ
  แมตตี้เคยให้สัมภาษณ์กับ NME ว่าชาวอเมริกันเข้าใจผิดเรื่องเพลงของเขาเป็นอย่างมาก
  เพราะ “Not enough noise and too much racket” เขากำลังสื่อถึงการใช้ยาเสพติดต่างหาก 
  ซึ่งเพลงนี้ยังสามารถโยงไปยังเพลง "She's American" ได้ด้วยเพราะเพลงนั้นก็คือผู้หญฺิง
  คนเดียวกันกับเพลงนี้ค่ะ ) 
"I think I've spent all my money and your friends"
"ผมคิดว่าผมจ่ายเงินให้เพื่อนๆของคุณไปหมดแล้วนะ"
( ในปารีสโคเคนแพงมากค่ะ ไลน์นี้แมตตี้กำลังจะบอกว่า
  เขาต้องทุ่มเงินทั้งหมดเพื่อให้ได้โคเคนนั้นมาครอบครอง
  รวมถึงต้องจ่ายให้ผู้หญิงคนนั้นและเพื่อนของเธอด้วย ) 



Oh, how I'd love to go to Paris again
โอ้ ผมล่ะอยากจะไปปารีสอีกจังเลย
Oh, how I'd love to go to Paris again
โอ้ ผมอยากกลับไปที่ปารีสอีกสักครั้ง
( แมตตี้เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า "ปารีส เป็นสถานที่โรแมนติกที่เขาฝันเอาไว้ว่า
  อยากไปที่นั่นกับแฟนสักครั้ง แต่วันนั้นก็ไม่เคยมาถึงเลย เพราะพวกเขามักจะจบ
  ความสัมพันธ์นั้นลงไปก่อนแล้ว สถานที่นี้จึงเป็นสถานที่ในฝันของเขานั่นเอง" 
  แต่ปารีสในเพลงเป็นอีกความหมายหนึ่ง นั่นก็คือแมตตี้อยากจะกลับไปเสพโคเคนอีกครั้ง 



Mr. Serotonin Man, lend me a gram
Mr. Serotonin Man ผมขอเพิ่มอีกสักกรัมนะ
You call yourself a friend?
ถ้าไม่ได้เราก็ไม่ใช่เพื่อนกัน
( การแนะนำเพื่อนของวงการคนเสพโคเคนก็คือเราจะยื่นโคเคน 1 กรัม
  ให้กับเพื่อนใหม่คนนั้น Serotonin คือสารชนิดหนึ่งของยาอี แมตตี้จึงเรียกเพื่อนใหม่คนนั้นว่า
  Mr.Serotonin เพราะในมือของชายคนนั้นมีโคเคนที่ทำให้เขารู้สึกดีอยู่ 
I got two left feet and I'm starting to cheat
ผมมันเป็นพวกโลเลก็เลยเริ่มนอกใจ
On my girlfriend again
แฟนของตัวเองอีกครั้งแล้ว
( คำว่า left เป็นคำที่เพี๊ยนมาจากคำว่า lyft ซึ่งเป็นภาษาเก่าหมายถึง อ่อนแอ,ปวกเปียก
  ไม่ได้มาจากรากเดียวกับ left ที่เป็นรูปอดีตของ leave ปัจจุบัน left ไม่ได้มีความหมายในเชิงลบแล้ว
  แต่ก็ยังไปโผล่ในสำนวนที่มีความหมายไม่ค่อยดีอยู่ เช่น have two left feet คือคำที่
  เอาไว้ด่าพวกไม่เอาอ่าว โลเล ปวกเปียก ในไลน์นี้ความหมายจึงแปลว่า แมตตี้(ในเพลง robber)
  เป็นพวกโลเล ไร้ประโยชน์ ไม่พอใจสิ่งที่ตัวเองมีก็เลยเริ่มนอกใจแฟนที่ลำบากมาด้วยกันอีกครั้ง 
I caught her picking her nose
ผมแอบจับได้นะว่าเธอกำลังจับจมูกตัวเอง
( ไลน์นี้ยังคงวนอยู่ในเพลง Robber นะคะ แมตตี้แอบจับได้ว่าแฟนสาวที่เขาแอบนอกใจ
  เธอสัญญากับเขาแล้วว่าจะเลิกเสพโคเคน แต่พอเห็นท่าทางการสูดจมูกของเธอแล้ว
  ทำให้แมตตี้มั่นใจได้ว่าเธอยังไม่เลิกเสพแน่นอน ซึ่งในไลน์นี้แมตตี้นำมาเปรียบเทียบกับไลน์ก่อนหน้า
  เพราะเขาโกหกและนอกใจเธอ แฟนของแมตตี้เลยเอาคืนในการโกหกเรื่องเลิกโคเคนบ้างค่ะ ) 
As the crowd cheered for an overdose
กลุ่มคนตรงหน้ากลับบอกให้เสพมันเข้าไปอีก
( ไลน์นี้น่าจะพูดถึงโชว์ของ THE 1975 ในปี 2014 ค่ะ ซึ่งเป็นช่วงที่แมตตี้ดื่มหนักมากตอนโชว์บนเวที 
And I don't suppose you know where this train goes
เดาได้เลยว่าคุณน่ะไม่รู้หรอกว่ารถไฟขบวนนี้มันจะไปจบที่ตรงไหน
( แมตตี้ไม่ได้ใส่ใจเลยว่าการติดยาเสพติดมานานมันจะทำให้ร่างกายของเขาย่ำแย่ขนาดไหน
  โดยเขาใช้การเดินทางที่ไม่รู้จุดหมายของรถไฟเป็นอุปมาการติดยาเสพติดของตัวเอง 
  ซึ่งความหมายแฝงของไลน์นี้ก็คือการขอความช่วยเหลือจากใครสักคน ที่จะดึงเขาให้พ้น
  จากขุมนรกของยาเสพติดที่แมตตี้ไม่สามารถออกไปด้วยตัวเองได้ ) 
There was a party that she had to miss
ปาร์ตี้นี้รู้สึกว่าเธอจะพลาดไปหน่อยนะ
Because her friend kept cutting her wrists
เพราะเพื่อนของเธอน่ะจะฆ่าตัวตายอีกแล้ว
( เพราะเพื่อนของผู้หญิงที่เป็นตัวเอกของเพลงกำลังจะฆ่าตัวตาย
  เธอเลยต้องพลาดปาร์ตี้โคเคนที่พวกเขาจัดขึ้นมา 
Hyper-politicized sexual trysts
ปาร์ตี้ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซ็กซ์
politicize - การเมือง แต่ในที่นี้น่าจะหมายถึงคำว่านอกจากปาร์ตี้เซ็กซ์แล้ว
  พวกเขายังมีโคเคนให้เสพแบบไม่อั้นอีกด้วย 
"Oh, I think my boyfriend's a nihilist"
"โอ้ แฟนของฉันแม่งอันตรายชิบหายเลย"
( แฟนของแมตตี้เริ่มกลัวเขาแล้ว เพราะฤทธิ์ของยาเสพติดทำให้เขากลายเป็นพวกไม่มีเหตุผล
  อารมณ์ฉุนเฉียวและโมโหร้ายง่ายมากๆ ความกลัวเริ่มครอบงำเธอ ทำให้เธอต้องพึ่งยาเสพติด
  เพื่อระงับอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ) 
I said, "Hey kids, we're all just the same
What a shame"
ผมก็เลยบอกว่า "ยัยบ้านี่ เราสองคนแม่งก็หมือนกันนั่นแหละ
จะอะไรกันนักกันหนาวะ"
( แมตตี้ยกให้ไลน์นี้เป็นไลน์โปรดในเพลงนี้ของเขาเลย เพราะถึงแม้ปากของเราจะพูดว่าต่างกันยังไง
  แต่พวกเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกันเดินอยู่บนดินเหมือนกัน ) 


And oh, how I'd love to go to Paris again
โอ้ ผมล่ะอยากจะไปปารีสอีกจังเลย
And how I'd love to go to Paris again
ผมอยากกลับไปที่ปารีสอีกสักครั้งจริงๆ
( ปารีสในไลน์นี้ไม่ได้หมายถึงปารีสในฝันของแมตตี้กับแฟนอีกแล้ว
  แต่เป็นปารีสสถานที่ที่เต็มไปด้วยโคเคนที่แมตตี้ใฝ่ฝันถึง 


"Oh stop being an arsehole and counting my eye rolls"
"พอเถอะ หยุดทำตัวงี่เง่าแบบนี้สักที ผมเริ่มจะทนไม่ไหวแล้วนะ"
( arsehole/asshole - พวกคนที่ชอบทำตัวงี่เง่า เพราะเธอนิสัยเหมือนกับเขามากเกินไป
 เลยทำให้แมตตี้เริ่มจะทนกับพฤติกรรมของเธอไม่ไหวแล้ว ) 
"They're like piss holes in the snow" - uh oh
"อุ๊ย ตรงนั้นเหมือนหลุมฉี่บนหิมะเลยเนอะ"
( piss holes in the snow เป็นศัพท์แสลงค่ะแปลว่า เป็นอาการของคนเมาค้างจนตากลอกกลับไปกลับมาค่ะ
  ไลน์นี้แมตตี้น่าจะสื่อถึงคำพูดของบุคคลที่สามซึ่งกำลังมองพวกเขาสองคนที่เมาโคเคนแล้วทะเลากันอยู่ )
Keeping a tab on my health
เรื่องสุขภาพน่ะช่างมันก่อนก็แล้วกัน
( เป็นการเล่นคำของฝ่ายหญิงค่ะ เธอรู้ว่าแมตตี้กำลังติดยาอะไรอยู่บ้าง
  เลยใช้ยาพวกนั้นเป็นตัวคอยควบคุมแมตตี้ให้อยู่ในโอวาทของตัวเองค่ะ )
Man you're putting me up on a shelf
นี่นายกล้าเมินฉันขนาดนี้เลยหรอ
( เพราะเธอคอยควบคุมเขาและทำตัวเหมือนแม่คอยปกป้องเขาจากโลกภายนอก
  ยกให้เขาขึ้นไปอยู่บนจุดที่สูงๆซึ่งมันทำให้แมตตี้รู้สึกยิ่งไร้ค่ามากกว่าเดิม เขาก็เลยเมินเธอไป )
"Well I'll believe you're clean
But only by seeing your face for myself"
"เอาล่ะ ฉันจะเชื่อก็ได้ว่านายเลิกยาแล้ว
แต่ต้องให้ฉันไ้เจอหน้าของนายก่อนก็แล้วกัน"
( เพราะเขาไม่อยากให้เธอคอยควบคุมอีกแล้ว ก็เลยบอกไปว่าเลิกยาแบบหายขาดแล้ว
  เธอทำท่าเหมือนจะเชื่อแต่ก็ไม่ เธอเลยขอเจอหน้าของแมตตี้ก่อนเพื่อที่จะเช็คว่า
  เขาเลิกยาทั้งหมดแล้วจริงๆ )
And then she pointed at the bag of her dreams
แล้วเธอก็ชี้ไปที่กระเป๋าในฝัน
In a well posh magazine
ที่อยู่ในนิตยาสารสุดหรู
( ไลน์นี้แมตตี้กำลังจะสื่อว่า อันที่จริงแล้วผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นห่วงตัวของเขาเลย
  เธอเป็นห่วงเงินต่างหาก เพราะถ้าหากว่าเขาไม่หยุดยา เขาก็จะไม่มีเงินพอที่จะ
  มาซื้อกระเป๋าสุดหรูใบนั้นให้เธอ เพราะถ้าเธอห่วงเขาจริงเธอจะไม่ชี้ไปที่กระเป๋าใบนั้นอย่างแน่นอน )
I said "I'm done, babe. I'm out of the scene,"
ผมเลยบอกว่า "ผมเลิกแล้วจริงๆที่รัก ไม่ขอกลับไปยุ่งกับพวกมันอีกแล้ว"
But I was picking up on Bethnal Green
แต่ผมก็เพิ่งจะไปรับยาที่ Bethnal Green มาอ่ะนะ
( เขาบอกเธอว่าผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในการเลิกยามาแล้ว แต่เอาเข้าจริงๆเขาเพิ่งจะไปรับยามาจาก
  เพื่อนที่รู้จักกันในย่าน Soho อารมณ์ประมาณว่า แฟนของแมตตี้ให้ความสำคัญกับกระเป๋าสุดหรูมากกว่า
  ชีวิตของเขาทำไมเขาจะต้องสนใจเธอกับกระเป่าใบนั้นด้วยล่ะ เขาสนใจสิ่งที่ให้ความสุขกับตัวเขาจริงๆ
  ไม่ดีกว่าหรอ สิ่งที่ว่านั้นก็คือโคเคนนั่นเองค่ะ )
She said I've been romanticizing heroin
เธอบอกว่าผมน่ะเป็นนักเสพเฮโรอีนที่โรแมนติกที่สุดเลย


And oh how I’d love to go to Paris, to Paris again
And how I’d love to go to Paris again
And how I’d love to go to Paris again
And how I’d love to go to Paris again
โอ้ ผมล่ะอยากจะกลับไปที่ปารีสอีกสักครั้งจังเลย
( เพราะเขาใส่แว่นสีชาบวกกับเสพเฮโรอีนเข้าไปอีก ฤทธิ์ของยาเสพติดทำให้เขาเคลิ้มและทำดีกับเธอ
  ช่วงเวลาที่เรียบง่ายและสงบสุข ไม่ต้องคิดอะไร แค่ปล่อยตัวไปกับฤทธิ์ของยา
 เป็นช่วงที่เขามีความสุขมากที่สุดแล้ว )

Lyrics source : The 1975 - Paris

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2562

[แปลเพลง] The 1975 - If I Believe You







Transbymatt – เพลงนี้เป็นเพลงที่เปรียบเสมือนการสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้า
ของศิลปินผู้กำลังต่อสู้กับสภาพจิตใจอันย่ำแย่ของตนเอง
เพลงนี้จึงเป็นการตั้งคำถามต่อตนเองว่า
การไม่เชื่อในพระเจ้านั้นทำให้ชีวิตของเขานั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคใช่หรือไม่
instrumental ของเพลงนี้ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากเพลงแนว jazzy gospel ค่ะ.

เพลงเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องพระเจ้าในอัลบั้มนี้ยังมีเพลง "Nana" อีกหนึ่งเพลง
ซึ่งตัวเอกของเพลงนั้นก็คือแมตตี้ ผู้ที่ไม่เคยเลื่อมใสในศาสนาของตนเองเลย
รวมไปถึงเพลง "Antichrist" ในอัลบั้มก่อนหน้านั้นด้วย

Truman_Black - Religious belief resolves no moral problem and yields no knowledge

Q : Matty Healy ไม่เคยเลื่อมใสในศาสนาเลยใช่หรือไม่?
A : แมตตี้ไม่ได้เป็นผู้ที่เลื่อมใสในศาสนาเท่าใดนัก
เขาเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นว่าศาสนาไม่สามารถมีบริบททางสังคมได้มากเท่าไหร่
แต่อย่างไรก็ตาม หลายเพลงของเขาที่มีความเชื่อเรื่องศาสนามาเกี่ยวข้อง
ได้แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็ยังปราถนาที่จะเชื่อในบางสิ่งเช่นกัน




- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -





I’ve got a God shaped hole that’s infected
ผมมีรูปปั้นที่แสนจะมัวหมองของชายคนนั้น
And I’m petrified of being alone now
แล้วก็เริ่มกลัวการที่จะต้องอยู่ตัวคนเดียว
It's pathetic, I know
ผมรู้ว่ามันช่างน่าสมเพชเหลือเกิน
( แมตตี้เป็น humanist ซึ่งทำให้เขากลายเป็นขั้วที่อยู่ตรงข้ามกับศาสนาไปอย่างสิ้นเชิง
  ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีศาสนาแต่แมตตี้เคยบอกว่าเขาเองก็มี "God Complex เป็นคำที่เราเองก็แปลไม่ถูกเหมือนกันค่ะ
  เพราะไม่เคยได้ยินคำนี้เลย แต่ถ้าเปรียบกับเพลงนี้แล้ว God Complex น่าจะหมายถึงความเชื่อเล็กๆที่ซ่อนอยู่ภายใน
  จิตใจของแมตตี้นั่นเองค่ะ ) 


And I tossed and I turn in my bed
ตัวผมที่พยายามจะข่มตานอนให้หลับ
It's just like I Lostmyhead (Lostmyhead)
มันเหมือนกับตอนนี้ภายในหัวของผมมันว่างเปล่า
( แมตตี้กำลังพูดถึงปัญหาเรื่องสุขภาพจิตของตัวเขาเอง ท่อนนี้อาจจะตีความได้ว่า
  ที่แมตตี้มีปัญหาด้านสุขภาพจิตนั่นเป็นเพราะเขาไม่ได้เลื่อมใสในศาสนา
  ในเพลงนี้แมตตี้ได้อ้อนวอนต่อพระเจ้าให้ช่วยเขาพ้นจากความทุกข์ที่เกิดขึ้นในจิตใจของตน ) 


And if I believe you
และถ้าผมเชื่อคุณ
Will that make it stop?
คุณจะทำให้มันหยุดได้ไหม?
If I told you I need you
ถ้าผมบอกว่าต้องการคุณ
Is that what you want?
นั่นเป็นสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?
And I'm broken and bleeding
ตัวผมที่ไร้ซึ่งพละกำลัง
And begging for help
ได้เริ่มอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ
And I'm asking you Jesus, show yourself
ผมกำลังขอร้องคุณนั่นแหละ ได้โปรดแสดงตัวออกมาเถอะ
( ในท่อนนี้ของเพลง แมตตี้กำลังทำให้พวกเราเห็นว่าเขากำลังทำตัวขัดแย้งกับคำว่าไม่เชื่อในพระเจ้าของเขาเอง
  เขาต้องอดทนเพื่อที่จะให้ปัญหาหลายสิ่งผ่านพ้นไปเร็วๆ แต่ก็คิดขึ้นมาได้ว่าถ้าหากลองอ้อนวอนต่อพระเจ้า
  ความเจ็บปวดเหล่านี้อาจจะบรรเทาลงไปได้บ้าง 
  แมตตี้เคยให้สัมภาษณ์กับ Joiz เขากล่าวว่าศาสนาก็เป็นเหมือนกับโรคร้าย ซึ่งแทรกตัวอยู่ทั่วไปในสังคม
  บังคับให้ทุกคนที่มีความเชื่อเดียวกันปฏิบัติตามกันไปเป็นทอดๆ 
  แต่แมตตี้เองก็ยังบอกว่า เขานั้นอิจฉาคนที่มีความซื่อสัตย์ในจิตใจเป็นอย่างมากและก็หวังว่าจะมีความเชื่อ
  หรือความซื่อสัตย์ได้แบบนั้นบ้าง ) 


I thought I’d met you once or twice
ผมคิดว่าผมน่าจะเคยเจอคุณครั้งหรือสองครั้งนะ
But that was just because the dabs were nice and opening up my mind
นั่นอาจจะเป็นเพราะผมเริ่มเปิดใจของตัวเองให้กว้างขึ้น
Showing me consciousness is primary in the universe
แสดงให้ผมเห็นสิว่าจักรวาลนี้ใช้คำว่าสติเป็นที่ตั้ง
And I had a revelation
ผมจะได้เปิดเผยมันออกมาสักที
( สำหรับผู้ที่ใช้สารเสพติดอย่างเช่น mescaline LSD psilocybin และ DMT ซึ่งจะมีอาการเคลิบเคลิ้ม
  Revelation ในที่นี้อาจจะหมายถึงคำว่า psychedelic มาจากภาษากรีกซึ่งแปลว่าการเปิดใจ
  ซึ่งแมตตี้อาจจะประสาทหลอนจากการใช้ยาเลยทำให้เขาคิดว่าเคยได้เจอกับพระเจ้ามาแล้วสองครั้ง ) 


I'll be your child if you insist
ถ้าคุณยังยืนยันแบบนั้นผมก็จะเป็นลูกของคุณ
I mean if it was you that made my body
หมายถึงว่าถ้าคุณเป็นผู้สร้างร่างกายของผมขึ้นมา
You probably shouldn't have made me atheist
คุณก็ไม่ควรทำให้ผมไม่เชื่อในพระเจ้าสิ
But, oh, I’m a lesbian kiss
แต่ว่านะ โอ้..ผมจูบกับเลสเบี้ยนไปซะแล้ว
( เพราะแมตตี้ไม่เชื่อในพระเจ้าและเขาก็เป็นคนที่ดิ้นรนด้วยความสามารถของตัวเองมาตลอด
  เขาจึงล้อเลียนไบเบิ้ลในท่อนนี้ของเพลง "ถ้าคุณยืนยันว่าผมเป็นลูกของคุณ" แลัวก็เหน็บต่อด้วยคำถามว่า
  "ถ้าสร้างผมขึ้นมาจริงๆ ทำไมถึงทำให้ผมเชื่อในพระเจ้าไม่ได้ล่ะ" จากนั้นก็จิกต่ออีกครั้งกับคำว่า lesbian kiss
  เพราะในไบเบิ้ลบอกว่าพวกเราไม่ควรจูบกับเลสเบี้ยน ) 


I'm an evangelist
ผมนี่แหละผู้เผยแพร่
And if you don't want to go to hell then Miss, you better start selling this
ถ้าคุณไม่อยากตกนรกก็ควรเริ่มขายสิ่งนี้ได้แล้วนะ
( ท่อนนี้เปรียบเสมือนกับการเทศนาของบาทหลวง ซึ่งนักเทศน์จะใช้ความกลัวให้ผู้คนเปลี่ยนมาเข้าศาสนาของตน
 "ถ้าใครไม่เชื่อในพระเจ้าก็จะต้องตกนรก" ในท่อน "you better start selling this" หมายถึง คุณจะเชื่อเพียงอย่าง
  เดียวไม่ได้ คุณจะต้องส่งต่อความเชื่อนี้ให้ผู้อื่นด้วย 


And if I believe you
และถ้าผมเชื่อคุณ
Will that make it stop?
คุณจะทำให้มันหยุดได้ไหม?
If I told you I need you
ถ้าผมบอกว่าต้องการคุณ
Is that what you want?
นั่นเป็นสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?
And I'm broken and bleeding
ตัวผมที่ไร้ซึ่งพละกำลัง
And begging for help
ได้เริ่มอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ
And I'm asking you Jesus, show yourself
ผมกำลังขอร้องคุณนั่นแหละ ได้โปรดแสดงตัวออกมาเถอะ
( ในท่อนนี้ของเพลง แมตตี้กำลังทำให้พวกเราเห็นว่าเขากำลังทำตัวขัดแย้งกับคำว่าไม่เชื่อในพระเจ้าของเขาเอง
  เขาต้องอดทนเพื่อที่จะให้ปัญหาหลายสิ่งผ่านพ้นไปเร็วๆ แต่ก็คิดขึ้นมาได้ว่าถ้าหากลองอ้อนวอนต่อพระเจ้า
  ความเจ็บปวดเหล่านี้อาจจะบรรเทาลงไปได้บ้าง 
  แมตตี้เคยให้สัมภาษณ์กับ Joiz เขากล่าวว่าศาสนาก็เป็นเหมือนกับโรคร้าย ซึ่งแทรกตัวอยู่ทั่วไปในสังคม
  บังคับให้ทุกคนที่มีความเชื่อเดียวกันปฏิบัติตามกันไปเป็นทอดๆ 
  แต่แมตตี้เองก็ยังบอกว่า เขานั้นอิจฉาคนที่มีความซื่อสัตย์ในจิตใจเป็นอย่างมากและก็หวังว่าจะมีความเชื่อ
  หรือความซื่อสัตย์ได้แบบนั้นบ้าง ) 


If I'm lost then how can I find myself?
If I'm lost then how can I find myself?
If I'm lost then how can I find myself?
ถ้าผมสูญเสียความเป็นตัวเองไปต้องทำยังไงถึงจะหามันเจออีกครั้ง?
If I'm lost now then how can I find myself?
If I'm lost now then how can I find myself?
ถ้าผมสูญเสียตัวตนไปแล้วจะต้องทำยังไงถึงจะหามันเจออีกครั้ง?
If I'm lost then how can I find myself?
ถ้าผมสูญเสียความเป็นตัวเองไปต้องทำยังไงถึงจะหามันเจออีกครั้ง?
Then how can I find myself?
จะต้องทำยังไงถึงจะค้นหาตัวตนเจอ?
If I'm lost now then how can I find myself?
ถ้าผมสูญเสียตัวตนไปแล้วจะต้องทำยังไงถึงจะหามันเจออีกครั้ง?
Yeah, yeah, yeah
If I'm lost now then how can I find myself?
ถ้าผมสูญเสียตัวตนไปแล้วจะต้องทำยังไงถึงจะหามันเจออีกครั้ง?
Yeah, yeah
( ผู้คนมักจะพยายามอยู่อย่างสันโดษเพื่อค้นหาคำว่า "ตัวตน" ในศาสนา แมตตี้ตั้งคำถามนี้ขึ้นมาเพื่อสื่อถึงคำว่า
  "แล้วถ้าหากว่าเราหลงทางอยู่ล่ะ จะรู้ได้ยังไงว่าตัวตนนั้นเป็นสิ่งที่เรากำลังค้นหาอยู่"
  “Amazing Grace” เป็นเพลงที่อธิบายเกี่ยวกับการค้นพบตนเองเมื่อได้เจอกับพระเจ้า
  อย่างในท่อนนี้ของเพลง "I once was lost, but now I’m found - ฉันผู้เคยหลงทางตอนนี้กลับพบแล้ว
  Was blind, but now I see - ฉันผู้เคยตาบอดกลับมองได้อย่างแจ่มแจ้ง" เนื้อร้องของแมตตี้กำลังสะท้อนถึงเพลงนี้
  "เราจะมีความสุขได้อย่างไร จะพอใจได้อย่างไร ถ้าหากยังอยู่อย่างโดดเดี่ยวและปราศจากการชี้ทางจากผู้ที่อยู่สูงกว่า"
  การที่แมตตี้ใช้ประโยคเดิมซ้ำๆในท้ายเพลง เพื่อสื่อว่าเขากำลังขัดแย้งกับตัวเอง
  ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อในพระเจ้าดีนั่นเองค่ะ )



Lyrics source : The 1975 - If I Believe You